สำหรับการเรียนหนังสือแล้ว "ความจำ"เป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะจะทำให้เราเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในบทความนี้ เราจะพูดถึงเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ
ที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า
มีผลให้ความจำดีขึ้นและเรียนรู้ได้มากขึ้น
จากการทดลองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความจำของมนุษย์กับสิ่งที่ได้รับฟัง
สามารถวาดแผนภาพความจำได้เทียบกับเวลาที่ผ่านไปหลังจากการรับรู้ข้อมูลได้ดังภาพประกอบ
 |
แผนภาพความจำได้เทียบกับเวลาที่ผ่านไปหลังจากการรับรู้ข้อมูล
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า
จากเวลาที่เราเริ่มรับข้อมูลด้วยการฟังอย่างเดียวนั้น ความจำได้จะลดลงตามเวลา
แต่ถ้าหากเราฟังไปด้วย จดไปด้วย และคิดตามไปด้วย
ความจำได้จะลดลงช้ากว่าการฟังอย่างเดียวมาก
นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าการที่ครูค่อยๆ เขียนกระดานและให้นักเรียนค่อยๆ จดตามไปนั้น
ส่งผลดีต่อความจำมากกว่าการปิ้งแผ่นใสหรือฉายไฟล์เพาว์เวอร์พ้อยท์นอกจากนี้ การคุยไปด้วย
ตั้งคำถามให้นักเรียนได้มีโอกาสคิดตามไปด้วย ก็จะยิ่งส่งผลดีต่อความจำ วิธีตรวจสอบว่านักเรียนคิดตามหรือไม่
ก็คือการขอให้นักเรียนตอบออกมาดังๆ
เทคนิคการเพิ่มความจำอีกอย่างคือการให้การบ้านและขอให้นักเรียนทบทวน
ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะเป็นการกระตุ้นความทรงจำ อย่างไรก็ตาม
ผู้เชี่ยวชาญทางสมองแนะนำเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ในการทบทวน ดังนี้
1. ควรให้การบ้านในปริมาณที่เหมาะสม เช่น
การบ้านที่ใช้เวลาทำไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน
2. ควรทิ้งช่วงเวลาในการทบทวนให้เหมาะสม
นักจิตวิทยาแนะนำว่า การทบทวนถี่ๆ เกินไปจะส่งผลเสีย เพราะจิตใต้สำนึกจะคอยบอกว่า
ตรงนี้รู้แล้ว ตรงนี้จำได้ ผลก็คือเราจะอ่านทบทวนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
3. ขณะทบทวนให้ตั้งคำถามให้ตัวเองตอบ
ตั้งคำถามเยอะๆ ตอบเยอะๆ ใช้เครื่องช่วยอย่างเช่น flashcards
4. พยายามเชื่อมโยงข้อมูลใหม่ๆ
เข้ากับความรู้ที่มีอยู่เดิมจะทำให้จำได้ดีขึ้น
วิธีที่จะเชื่อมโยงข้อมูลได้ดีวิธีหนึ่งคือการวาดแผนภาพหรือการทำ mind map การสอนของครูก็ควรมีส่วนที่เชื่อมโยงความรู้เก่าที่สอนไปแล้วเข้ากับความรู้ใหม่ๆ
ที่กำลังจะสอนด้วย
5. การหลับหลังจากการทบทวนอย่างเต็มที่จะทำให้เซลล์สมองเสริมสร้างความเข้มแข็งในการเชื่อมต่อกัน
เพิ่มพลังให้แก่ความจำให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ หากครูมีวิธีที่ทำให้นักเรียนชอบหรือว่ารักหรือว่าหลงใหลในเนื้อหาวิชาแล้ว
ครูจะพบว่านักเรียนจะเฝ้าครุ่นคิดถึงมันและจะจำได้จนไม่มีวันลืม แต่ถ้าหากครูทำให้นักเรียนรู้สึกหดหู่
เจ็บปวด หรือว่าทรมานกับเนื้อหาวิชาแล้ว ผลที่ได้จะกลับเป็นตรงกันข้ามเลยทีเดียว
สุดท้ายที่จะขอฝากไว้ตรงนี้คือทัศนคติต่อการเรียนรู้
นักเรียนโดยทั่วไปจะมีทัศนคติว่าตนเองมีความสามารถในการเรียนรู้ที่จำกัด
จะไม่สามารถเรียนรู้ของที่ยากเกินว่าขีดจำกัดหนึ่งซึ่งพวกเขาสร้างมันขึ้นมาในจิตใจ
ข้อจำกัดนี้เป็นทั้งข้ออ้างและตัวขัดขวางการเรียนรู้ของนักเรียนคนนั้นๆ
ดังนั้นครูจำต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติในการเรียนรู้ของนักเรียนให้เป็นลักษณะของการเจริญงอกงาม
โดยใช้แนวคิดที่ว่า ภายใต้กลยุทธ์การเรียนรู้ที่เหมาะสม
ให้เวลากับการเรียนรู้อย่างเพียงพอ และใช้กระบวนการเรียนรู้ที่ดี
จะทำให้ความสามารถของนักเรียนค่อยๆ เติบโต และเจริญงอกงาม
จนกระทั่งสามารถเรียนรู้อะไรก็ได้ แม้แต่สิ่งที่ยากที่สุด
แล้วจะไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้สำหรับการเรียนรู้อีกต่อไป
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น